วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อาชีพในฝันของฉัน

อาชีพในฝันของฉัน
          ในปัจจุบันโลกของเรานั้นมีอาชีพอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานประเภทธุรกิจส่วนตัว การทำงานเอกชน หรือแม้กระทั่งการทำงานราชการ ซึ่งมนุษย์แต่ละคนต่างก็มีอาชีพที่ใฝ่ฝันแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนสนใจ สิ่งที่ตนถนัด และสิ่งสำคัญก็คือ สิ่งที่ตนรักนั่นเอง เนื่องจากคนเราจะทำงานได้ดีก็ต้องมีความรักต่ออาชีพของตนเอง เพราะจะให้การทำงานนั้นไม่เบื่อหน่าย และสนุกจนเหมือนว่าตนไม่ได้ทำงานอยู่เลย
          ส่วนอาชีพในฝันของฉันนั้นก็คือ นักการทูต แต่ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กฉันฝันอยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งตอนนั้นฉันไม่ได้คิดถึงอาชีพนักการทูตแล้วก็ไม่รู้จักอาชีพนี้ด้วยซ้ำ ต่อมาเมื่อชั้นอยู่ป.6กำลังจะเข้าม.1 พ่อของฉันก็อยากให้ฉันสอบเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป เพราะพ่อคิดว่าฉันชอบนาฏศิลป์ไทย(ซึ่งตอนเด็กมันก็ใช่ แต่พอโต ขึ้นมาฉันก็รู้สึกเฉยๆ) ส่วนพ่อก็ชอบนาฏศิลป์ไทยด้วยเช่นกัน และเมื่อฉันสอบผ่านฉันจึงเลือกเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป ทั้งที่ฉันสอบเข้าโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)4 ได้เรียบร้อยแล้ว เพราะตอนนั้นมีแต่คนบอกว่าสอบเข้าที่วิทยาลัยนาฏศิลปยากฉันเลยอยากเรียน จึงทำให้ความฝันของการที่อยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์จบลง ต่อมาพ่อของฉันก็อยากให้ฉันเป็นครูสอนนาฏศิลป์ไทย ซึ่งตอนนั้นฉันอยากจะเป็นนักบัญชี (เพราะชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์) แต่พ่อก็ให้ความเห็นว่า ในอนาคตประเทศไทยจะเข้าร่วมกลุ่มเป็นอาเซียน ทำให้หางานทำยากขึ้นเพราะชาวต่างชาติจะเข้ามาทำงานที่ประเทศไทยมากขึ้น และโดยเฉพาะอาชีพที่ติดอันดับ (ซึ่งนักบัญชีก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย) แต่ถ้าเราเลือกที่จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ วัฒนธรรมของเรา เช่น ครูสอนนาฏศิลป์ไทย เราก็จะมีงานทำ เพราะชาวต่างชาติรำนาฏศิลป์ไทยไม่สวยเท่าคนไทย ฉันจึงต้องจบความฝันของการเป็นนักบัญชีลง ต่อมาเมื่อฉันอยู่ม.3ฉันได้พบกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาอยากทำงานเกี่ยวกับการแปลเอกสารให้กับกนะทรวงการต่างประเทศ ซึ่งในตอนนั้นฉันอยากทำงานอะไรก็ได้แต่ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
          1. ทำงานรับราชการ
          2. อยู่ในกระทรวงวัฒนธรรม หรือ กระทรวงการต่างประเทศ
          3. เมื่อทำงานได้ไปดูงานต่างประเทศบ้าง
          4. มีคนให้ความเคารพนับถือ ให้เกียรติเรา และถือว่าเราเป็นคนสำคัญ
          5. เงินเดือนดี
จึงทำให้ฉันนึกถึงอาชีพนักการทูต เพราะมีคุณสมบัติที่ครบตามที่ฉันต้องการ แต่การเป็นนักการทูตได้จะต้องเรียนจบด้านคณะรัฐศาสตร์มา และเมื่อฉันอยู่ม.5ฉันจึงตัดสินใจขอพ่อเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ เรียนควบคู่กับการเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป ซึ่งพ่อของฉันก็อนุญาตทำให้ความฝันของฉันใกล้เข้ามา แต่พ่อของฉันก็ยังอยากให้ฉันเรียนต่อคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกนาฏศิลป์ไทยอยู่ดี ฉันจึงตัดสินใจที่จะเรียนทั้งคณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะศิลปกรรมศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ถ้าสอบติด) หรือไม่ก็ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์เพราะฉันอยากเรียนเพื่อพ่อ พ่อให้ฉันเรียนในสิ่งที่ฉันต้องการแล้ว และฉันก็อยาก ให้พ่อภูมิใจกับปริญญาบัตรคณะที่พ่อต้องการ ทั้งนี้พ่อแม่ของฉันก็พอใจกับความ ใฝ่ฝันของฉันที่อยากจะเป็นนักการทูต
          คนเรามีสิทธิ์ที่จะฝันไม่ว่าฝันนั้นจะไกลแค่ไหน เพราะยิ่งไกลก็ยิ่งดี ยิ่งมีอุปสรรคมากก็ยิ่งดี เพราะยิ่งได้มายากมากเท่าไร เมื่อเราไปถึงจุดนั้นแล้วเราจะภาคภูมิใจกับความพยายามทั้งหมดที่เราได้ทำมันขึ้นมา โดยที่เราอาจจะมีท้อบ้าง เครียดบ้าง ร้องไห้บ้าง แต่ผลตอบแทนก็ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เสียไป